วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การใช้ there is , there are

การใช้ There is และ There are
@@@@@@@@@@
There is / There are มีความหมายว่า "มี" ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า "มีอะไรอยู่ที่ไหน" เช่น
How many books are there on the table? (มีหนังสืออยู่บนโต๊ะกี่เล่ม)
There is a book on the table. (มีหนังสืออยู่บนโต๊ะ 1 เล่ม)
How many apples are there in the basket? (มีแอ๊ปเปิ้ลอยู่ในตะกร้ากี่ผล)
There is an apple in the basket. (มีแอ๊ปเปิ้ลอยู่ในตะกร้า 1 ผล)
How many pens are there under the chair? (มีปากกาอยู่ใต้เก้าอี้กี่ด้าม)
There are two pens under the chair. (มีปากกาอยู่ใต้เก้าอี้ 2 ด้าม)
จากประโยคตัวอย่างข้างต้นจะพบว่า There is / There are ใช้แตกต่างกัน ดังนี้
1. There is ใช้นำหน้าคำนามเอกพจน์ หรือคำนามนับไม่ได้ เช่น
There is a book on the table. (มีหนังสืออยู่บนโต๊ะ 1 เล่ม)
There is an apple in the basket. (มีแอ๊ปเปิ้ลอยู่ในตะกร้า 1 ผล)
There is water in the glass. (มีน้ำอยู่ในแก้ว)
2. There are ใช้นำหน้าคำนามพหูพจน์ เช่น
There are two pens on the chair. (มีปากกาอยู่บนเก้าอี้ 2 ด้าม)
There are eight cats in the room. (มีแมวอยู่ในห้อง 8 ตัว)
There are dogs under the tree. (มีสุนัขอยู่ใต้ต้นไม้หลายตัว)



ที่มา  http://blog.eduzones.com/reno/3198

การใช้ some any

การใช้  some  และ  any
@@@@@@@@@@
ทั้ง some และ any มีความหมายว่า "บ้าง" แต่ใช้แตกต่างกันดังนี้
1. some ใช้กับประโยคบอกเล่า ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้
เช่น
I have some pens. (ฉันพอจะมีปากกาบ้าง)
John wants some water. (John ต้องการน้ำบ้าง)
There are some books on the table. (มีปากกาอยู่บนโต๊ะบ้าง)
There is some sugar in the bowl. (มีน้ำตาลทรายอยู่ในชามบ้าง)
2. any ใช้กับ
2.1 ประโยคปฏิเสธ ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น
"ไม่ ______ เลย" เช่น
I don't have any pens. (ฉันไม่มีปากกาเลยสักด้าม)
John doesn't want any water. (John ไม่ต้องการน้ำเลย)
There aren't any pencils under the table. (ไม่มีดินสออยู่ใต้โต๊ะเลยสักแท่ง)
There isn't any tea in the cup. (ไม่มีน้ำชาอยู่ในถ้วยเลย)
2.2 ประโยคคำถาม ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น
"_______ บ้างไหม" เช่น
Do you have any pens? (คุณมีปากกาบ้างไหม)
Does John want any water? (John ต้องการน้ำบ้างไหม)
Are there any books in the schoolbag? (มีหนังสืออยู่ในกระเป๋าเรียนบ้างไหม)
Is there any coffee in the cup? (มีกาแฟอยู่ในถ้วยบ้างไหม)



ที่มา  http://blog.eduzones.com/reno/3197

เรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง

เรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง
อยากเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง ต้องทำอย่างไร
            จากหน้า ถาม/ตอบ ปัญหาภาษาอังกฤษ โดยคุณวงศ์ วรรธนพิเชฐ ในเว็บไซต์ของเรานั้น คำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งก็คือ อยากเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง ต้องทำอย่างไรซึ่งคุณวงศ์ ได้ให้แนวทางในการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลไว้ดังนี้
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ สร้างพื้นฐานให้ดี ทั้งคำศัพท์ หลักไวยากรณ์และกฎข้อบังคับต่างๆ ถ้าพื้นฐานยังไม่แน่นให้ค่อยๆ ปูพื้น โดยเรียนตามขั้นตอน อย่าข้าม อย่าใจร้อน สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือให้หมั่นหาแบบฝึกหัดมาทำ และหมั่นหาบทความภาษาอังกฤษมาฝึกอ่านบ่อยๆ เวลาอ่านให้พยายามทำความเข้าใจความหมายอย่างแท้จริง และต้องจดจำคำศัพท์ โดยคุณวงศ์แนะนำว่าต้องจำศัพท์ทั้งตัวสะกด ความหมายและการออกเสียงรวมทั้งต้องสังเกตและจดจำคำอื่นๆ ที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังคำศัพท์หลักควบคู่ไปด้วย คือต้องจำเป็นกลุ่มคำ อันนี้สำคัญมาก เพราะถ้าไม่รู้ทั้งกลุ่มจะแต่งประโยคที่ถูกต้องไม่ได้
หลายคนอาจสงสัยว่ากลุ่มคำคืออะไรและช่วยให้เราเก่งภาษาอังกฤษได้อย่างไร กลุ่มคำ ก็คือคำหลายคำที่อยู่ด้วยกันบ่อยๆ หรือเป็นประจำซึ่งรวมถึง idiom, phrasal verbs และ collocations idioms หรือสำนวนนั้นผู้เรียนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่คงรู้จักกันดี ส่วน phrasal verbs ก็คือ verb ที่ตามด้วย preposition และ/หรือ adverb ซึ่งจะมีความหมายต่างจาก verb ตัวเดิม ในขณะที่ collocations นั้นเป็นสิ่งที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษจำนวนมากยังไม่รู้จักหรือมองข้ามไป collocations ก็เป็นคำประเภทหนึ่ง (เช่น noun หรือ verb) ที่นิยมใช้กับคำอีกประเภทหนึ่ง (เช่น adjective, adverb หรือ preposition) เช่น see a film, watch TV เขาใช้กันอย่างนี้ เราจะเปลี่ยนเป็น watch a film, see TV ก็ไม่ถูก เรื่องอย่างนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เพราะเขาฟังจนชินหูแล้วตั้งแต่เด็ก แต่สำหรับคนต่างชาติอย่างเราๆ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการใช้ภาษาอังกฤษเลยทีเดียว
สรุปแล้ว ถ้าใครอยากเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง นอกจากต้องท่องศัพท์ เรียนรู้หลักไวยากรณ์ และหมั่นทำแบบฝึกหัดและฝึกอ่านบทความภาษาอังกฤษแล้ว คุณวงศ์ แนะนำให้เอาใจใส่ในเรื่องกลุ่มคำด้วย


ที่มา  http://www.dicthai.com/how_to_good_at_english.html

วิธีการเลือกซื้อ Dictionary

วิธีเลือกซื้อ  Dictionary
(บทความนี้เรียบเรียงจากข้อคิดเห็นของคุณวงศ์ วรรธนพิเชฐ)
ทุกวันนี้ นักเรียน นักศึกษาส่วนมากต่างก็อยากเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งๆ ให้ดีๆ ถ้าเราอยากสมหวังในเรื่องนี้ เราจะต้องมีปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ 4 ปัจจัย คือ
1.             ตนเองต้องขยันในการเรียนภาษาอังกฤษ
2.             มีโรงเรียนที่ดีๆ ให้เราได้ศึกษา
3.             มีอาจารย์ที่เก่งๆ มาสอนเรา
4.             มีหนังสือที่ดีๆ ให้เราได้ใช้อ่าน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด
และหนังสือที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเรียนที่เรียนภาษาต่างประเทศคือ พจนานุกรม แต่พจนานุกรมภาษาอังกฤษที่วางขายอยู่ในร้านหนังสือมีหลายสิบฉบับ หากไม่มีผู้แนะนำก็เป็นเรื่องยาก ที่นักเรียนจะสามารถเลือกซื้อฉบับที่มีประโยชน์ และเหมาะสมกับตนเองได้อย่างถูกต้อง
พจนานุกรมจัดเป็นสินค้าที่ซื้อยากที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะผู้ซื้อมักไม่มีความรู้มากพอที่จะตัดสินว่าเล่มใดดี หรือไม่ดี จากประสบการณ์ในการศึกษาภาษาอังกฤษที่ต่อเนื่องยาวนานถึง 60 ปี ผมขอเสนอคำแนะนำ ในการเลือกซื้อ พจนานุกรม ภาษาอังกฤษ ที่ควรมีไว้ใช้สำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการเก่งภาษาอังกฤษ โดยแยกตามชนิดของพจนานุกรม ดังต่อไปนี้ (คำว่าพจนานุกรมในบทความต่อไปนี้จะแทนด้วยคำว่า ดิกฯเพื่อความสั้นและกระชับ)
1.พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย
พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย เป็นดิกฯที่จำเป็นสำหรับนักเรียนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษ แต่ดิกฯ แบบนี้ที่ดีๆ มีน้อย เพราะผู้แต่งบางคนใช้เวลาในการค้นคว้าไม่พอ เล่มที่ดีเล่มหนึ่งเป็นของ สอ เสถบุตร ฉบับปรับปรุงใหม่ในปี พ.ศ. 2548 ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษาโดยทั่วไปเลือกซื้อเล่มขนาดกลาง (Desk Edition) ก็พอ
ข้อดีของดิกฯ อังกฤษ-ไทยคือ เราสามารถจำคำแปล หรือความหมายของคำศัพท์ได้แม่นยำกว่า เพราะภาษาที่แปล เป็นภาษาของเราเอง แต่ถ้าต้องการเรียนรู้คำศัพท์อย่างลึกซึ้ง และทราบความหมายของคำศัพท์ได้อย่างชัดเจน ให้ใช้ดิกฯ อังกฤษ-อังกฤษ
2.พจนานุกรมไทย-อังกฤษ
พจนานุกรมไทย-อังกฤษ เป็นดิกฯที่จำเป็นสำหรับนักเรียนไทยที่อยากหัดเขียนภาษาอังกฤษ หรือแปลไทยเป็นอังกฤษ ฉบับของ สอ เสถบุตรก็ดีเหมือนกัน ส่วนดิกฯ ฉบับอื่นๆ พบคำแปลที่ผิด มากบ้าง น้อยบ้าง

สำหรับพจนานุกรมไทย-อังกฤษ ฉบับ New Age ที่ผมเรียบเรียง (พ.ศ. 2549) ยึดคำศัพท์ในพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2546) เป็นหลัก เนื้อหาใหม่ มีคำศัพท์ ลูกคำ และวลีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมกันถึง 53,400 คำ ซึ่งนับว่าเป็นดิกฯ ที่มีคำศัพท์มากที่สุด การเรียงลำดับคำค้นหาได้ง่าย คำแปลถูกต้อง ครอบคลุมและชัดเจน มีระบบการออกเสียงตามอักษรโรมัน ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่เพื่อช่วยในการออกเสียงให้ถูกต้องแม่นยำ เป็นประโยชน์สำหรับคนต่างชาติ หรือแม้แต่คนไทยเองที่พบคำอ่านยาก ก็จะได้รับประโยชน์จากระบบใหม่นี้เช่นกัน
นอกจากนี้ ดิกฯ ฉบับ New Age ยังมี
  • สำนวน สุภาษิต คำพังเพย
  • ภาคผนวกที่รวบรวมอักษรย่อ ชื่อกระทรวง ทบวง กรม
  • ลำดับราชวงศ์
  • ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และมาตราชั่ง ตวง วัด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานแปล
จัดจำหน่ายโดยศูนย์หนังสือจุฬาฯ
3. พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ
ผมอยากแนะนำให้นักศึกษาไทยใช้ดิกฯ อังกฤษ-อังกฤษ ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะอธิบายคำศัพท์ได้แม่นยำกว่าดิกฯ อังกฤษ-ไทย และช่วยสอนการเขียนภาษาอังกฤษได้ด้วย
ดิกฯ ชนิดนี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
สำหรับคนต่างประเทศใช้โดยเฉพาะ จะเน้นการใช้ภาษามากกว่าและใช้คำอธิบายที่เข้าใจง่ายกว่า ฉบับที่มีคนใช้มากที่สุดและดีที่สุดคือ
  • Oxford Advanced Learner’s Dictionary
  • นอกจากนี้ยังมีฉบับ Cobuild, Longman, Cambridge ก็มีข้อดีกันคนละอย่าง
สำหรับเจ้าของภาษาใช้เอง ฉบับที่ดีๆ ได้แก่
  • Concise Oxford Dictionary
  • Oxford English Reference Dictionary
  • Webster's New Collegiate Dictionary
  • Webster's New World Dictionary
  • Collegiate Edition Encarta World English Dictionary
  • The American Heritage Dictionary
4. พจนานุกรมแบบกลุ่มคำ (Collocation)
พจนานุกรมแบบกลุ่มคำ (Collocation) เป็นดิกฯ ชนิดใหม่ที่รวบรวมตัวอย่างคำภาษาอังกฤษ ที่ปกติใช้รวมกันเป็นกลุ่มคำเสมอ เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถเลือกคำในการเขียนได้ถูกต้อง ตามมาตรฐานของเจ้าของภาษา ดิกฯ แบบนี้นักเรียนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักและยังใช้ไม่เป็น แต่ผมขอแนะนำว่าดิกฯ ชนิดนี้ มีประโยชน์ต่อนักเรียนในการแต่งประโยค ปัจจุบันมีวางขายที่ร้านหนังสือทั่วไปเพียงสองฉบับคือ
  • Oxford Collocations Dictionary, 2002 มีข้อมูลส่วนใหญ่เป็นคำๆ ข้อมูลที่เป็นประโยคหรือวลีมีเป็นส่วนน้อย ใช้ยาก
  • English By Example: A Dictionary of English Collocations with Thai Translations ฉบับ ตั้งโต๊ะ (สำหรับ ฉบับใหญ่ ต้องสั่งซื้อโดยตรง)
ที่มา  http://www.dicthai.com/dictionary_types.html

ปัญหาที่พบในการเรียนภาษาอังกฤษ

ปัญหาที่พบมากที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษ



ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทย  เขียนและพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
พวกเราเขียนและพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เพราะว่าเราถูกสอนอยู่เพียง
2 ส่วนคือ คำศัพท์ (Vocabulary) และ ไวยากรณ์ (Grammar) แต่ในความเป็นจริง คือ คำศัพท์ในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็นกลุ่มคำ ไม่ใช่นำคำศัพท์แต่ละคำมาเรียงต่อกันเป็นประโยคเหมือนภาษาไทย

ยกตัวอย่างเช่น
"ฉันไปโรงเรียน"
ฝรั่งใช้ I go to school.
ไม่ใช่  I (ฉัน) go (ไป) school (โรงเรียน)
แต่ "ฉันกลับบ้าน"
ฝรั่งใช้ I go home.
ไม่ใช่ I go to home.
สุขสันต์วันเกิดแด่เธอ
Happy birthday to you.
ไม่ใช่ Happy birthday for ( แด่ สำหรับ) you.
เขาผ่านไป
ฝรั่งใช้ He passed by.
ไม่ใช่ He passed(ผ่าน) away (จากไป)
เพราะ "pass away" แปลว่า ล่วงลับ ตาย
เรามักใช้คำภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยตรงๆ จึงทำให้ฝรั่งไม่เข้าใจ
จากประสบการณ์ การทำงานแปลและเขียนภาษาอังกฤษ มาเป็นเวลานานกว่า 50ปี คุณวงศ์ วรรธนพิเชฐ ผู้เรียบเรียง พจนานุกรม English By Example มีความเห็นว่า ประโยคภาษาอังกฤษไม่ใช่มีเพียงแค่
ประธาน (Subject)
+
กริยา (Verb)
+
กรรม (Object)
แต่ความจริงแล้ว องค์ประกอบที่สำคัญในการแต่งประโยคภาษาอังกฤษให้ได้มาตรฐาน มี 3 ส่วน คือ
คำศัพท์ (Vocabulary)
 

+


ไวยากรณ์ (Grammar)
=
ประโยค (Sentence)
+


Collocation



ที่มา  http://www.dicthai.com/dt_problem.html